7 ข้อผิดพลาดที่เกษตรกรพบบ่อยในการทำเกษตร พร้อมวิธีแก้ไข

เมื่อพื้นที่เพาะปลูกขยายสู่ระดับฟาร์มขนาดใหญ่ ความท้าทายไม่ได้จำกัดอยู่แค่ต้นทุนหรือแรงงาน แต่ยังครอบคลุมถึงการวางแผน การบริหารจัดการทรัพยากร และการรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งแม้เป็นปัญหาเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงได้
เทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ เช่น โดรนการเกษตร ระบบวัดความชื้นและสภาพดิน หรือกล้องตรวจสอบพืชผล จึงเข้ามามีบทบาทสำคอัญในการช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
7 ข้อผิดพลาดในการทำเกษตรที่ต้องระวัง พร้อมวิธีป้องกัน

ข้อผิดพลาดในการทำเกษตรที่พบบ่อย และวิธีป้องกัน มีดังนี้
1. วางแผนปลูกแบบไม่ยืดหยุ่น เสี่ยงขาดทุน
ไร่ขนาดใหญ่ที่มีแผนปลูกแบบตายตัว มักเจอกับปัญหาเมื่อต้องรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือราคาผลผลิตผันผวน หากไม่สามารถปรับแผนได้ทัน อาจต้องเผชิญกับการขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิธีแก้
การทำเกษตรผสมผสาน จะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายพืชผลที่หลากหลาย และช่วยลดความเสี่ยงหากพืชชนิดใดชนิดหนึ่งมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ควรเก็บข้อมูลพยากรณ์อากาศย้อนหลัง และติดตามแนวโน้มตลาดไว้ด้วย เพื่อจะได้ปรับแผนปลูกพืชผลได้อย่างยืดหยุ่น
2. ไม่วางแผนเรื่องน้ำ หัวใจสำคัญของการเกษตร
หลายฟาร์มเน้นวางแผนเรื่องเมล็ดพันธุ์หรือปุ๋ย แต่ละเลยเรื่องแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อผลผลิตโดยตรง เพราะหากไม่มีน้ำใช้ในช่วงวิกฤต อาจส่งผลกระทบกับทั้งระบบได้
วิธีแก้
สำรวจความจุของบ่อพักน้ำเดิม และวางแผนสร้างระบบกักเก็บน้ำเพิ่มเติม เช่น สระน้ำสำรอง ระบบน้ำหยด หรือฝายชะลอน้ำ เพื่อให้มีน้ำใช้แม้ในหน้าแล้ง
3. พึ่งแรงงานคนเป็นหลัก ต้นทุนบานปลาย
การพึ่งพาแรงงานจำนวนมากจะทำให้ต้นทุนผันผวนได้ โดยเฉพาะหากเกิดช่วงขาดแคลนแรงงาน การทำงานล่าช้าหรือไม่ทันฤดูกาลอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลผลิตได้
วิธีแก้
การนำโดรนการเกษตรมาใช้พ่นยา หว่านปุ๋ย หรือสำรวจแปลง สามารถช่วยลดการพึ่งแรงงานคน และเพิ่มความแม่นยำในการทำงานได้อย่างมาก อีกทั้งยังประหยัดเวลาและต้นทุนในระยะยาวด้วย
4. ขาดการป้องกันโรคพืชและแมลง
เมื่อพื้นที่เพาะปลูกกว้าง การเฝ้าระวังศัตรูพืชและโรคระบาดอาจทำได้ไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร อีกทั้ง การระบาดเพียงจุดเดียวยังสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ
วิธีแก้
ใช้ระบบตรวจสอบแปลงร่วมกับการพ่นสารป้องกันเป็นรอบสม่ำเสมอ และบันทึกข้อมูลโรคพืชย้อนหลังเพื่อติดตามแนวโน้มการระบาดในอนาคต
5. ไม่มีข้อมูลต้นทุน-กำไรชัดเจน ทำให้วางแผนผิดพลาด
หากไม่มีการจดบันทึกต้นทุนอย่างละเอียด อาจทำให้เข้าใจผิดว่าได้กำไรสูง แต่ในความจริงอาจกำลังขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
วิธีแก้
ใช้โปรแกรมเกษตร หรือระบบจัดการฟาร์มที่สามารถบันทึกต้นทุนรายแปลง รายรอบการผลิต เพื่อให้สามารถวิเคราะห์กำไรขาดทุนได้อย่างแม่นยำ และวางแผนการลงทุนได้ถูกต้อง
6. มองข้ามตลาดปลายทาง เน้นปลูกก่อน ขายทีหลัง
การปลูกก่อนแล้วหาตลาดทีหลังเสี่ยงต่อการขายไม่ได้ราคา หรือสินค้าเหลือขายอย่างมาก ทำให้เงินทุนจม และส่งผลกระทบต่อรอบการผลิตถัดไป
วิธีแก้
วิเคราะห์ความต้องการตลาดล่วงหน้า หรือทำสัญญาซื้อขายแบบ Contract Farming พร้อมพัฒนาช่องทางขายที่หลากหลาย เช่น ตลาดสดออนไลน์ หรือนำส่งออก
7. ไม่ยอมใช้เทคโนโลยีช่วยบริหารแปลงขนาดใหญ่
ไร่ขนาดใหญ่ที่ยังใช้วิธีเดิมในการบริหารอาจเสียเปรียบเรื่องต้นทุนและความแม่นยำได้ ทั้งข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น
วิธีแก้
สามารถใช้โดรนการเกษตรที่ทำงานแทนแรงงานในหลายด้านได้ ซึ่งนอกจากการพ่นสารอย่างแม่นยำ โดรนการเกษตรยังสามารถบันทึกภาพเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์แปลง หรือทำแผนที่เพื่อวางแผนปลูกในรอบต่อไปได้ด้วย ช่วยประหยัดทั้งต้นทุนและเวลาในระยะยาว
สรุปบทความ

การทำเกษตรขนาดใหญ่ต้องอาศัยการบริหารจัดการที่รอบด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องการปลูกหรือเก็บเกี่ยวเท่านั้น แต่ต้องควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำให้ได้อย่างแม่นยำ เพราะข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในวันนี้อาจกลายเป็นผลกระทบใหญ่ในอนาคตได้ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม จึงช่วยให้ฟาร์มขนาดใหญ่บริหารจัดการได้ง่ายขึ้น มีความยั่งยืนมากขึ้นในระยะยาว